หมวดหมู่: พาณิชย์

1aaa Kจุรินทร์


จุรินทร์ กางแผนทำงานปี 63 เตรียมลุยขายสินค้า 18 ประเทศ ปิ้งทำเอฟทีเอรายมณฑลรายรัฐกับจีน-อินเดีย

      จุรินทร์ กางแผนทำงานปี 63 เตรียมสวมบทหัวหน้าทีมเซลล์แมนนำคณะออกลุยขายสินค้าไทย เป้าหมาย 18 ประเทศ พร้อมเดินหน้าเร่งเจรจาเอฟทีเอที่ค้างอยู่ให้จบ หวังใช้เป็นประตูเปิดตลาดให้กับสินค้าและบริการของไทย ปิ๊งไอเดียคุยทำเอฟทีเอรายมณฑลกับจีน รายรัฐกับอินเดีย เพื่อเปิดตลาดได้เร็วขึ้น ส่วนโครงการประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 ชนิด ยังคงเดินหน้าต่อ หลังปีนี้ทำจบครบหมดแล้ว

         นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ถึงแผนงานที่จะเดินหน้าในปี 2563 โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานและต้องการผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม ว่า กระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้าขับเคลื่อนการส่งออกของประเทศ โดยในปี 2563 มีแผนที่จะนำคณะของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนเดินทางไปเปิดตลาดอย่างน้อยใน 16 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ ฮ่องกง จีน เวียดนาม ฝรั่งเศส อังกฤษ ตะวันออกกลาง รัสเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ติมอร์เลสเต เกาหลีใต้ บังกลาเทศ มัลดีฟส์ และกัมพูชา เป็นต้น เพื่อผลักดันการส่งออกและสร้างโอกาสทางการค้าให้กับไทย

        ทั้งนี้ ยังมีแผนที่จะผลักดันการทำข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อลดภาษีและใช้สร้างโอกาสในการส่งออกให้กับสินค้าและบริการของไทย โดยเฉพาะเอฟทีเอไทย-ตุรกี จะเร่งรัดให้เสร็จภายในกลางปีหน้า และยังมีเอฟทีเอไทย-ปากีสถาน ไทย-ศรีลังกา และที่จะเริ่มต้นใหม่ก็มีทั้งไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ไทย-อังกฤษ ไทย-ฮ่องกง และไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (เอฟต้า) ซึ่งประกอบด้วยสวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตล์ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์

       "ได้มอบนโยบายให้ไปเริ่มต้นเอฟทีเอรูปแบบใหม่ ที่จะลงลึกรายมณฑลหรือรายรัฐ ในประเทศที่เหมาะสมที่จะทำข้อตกลงพิเศษทางด้านการค้าและบริการระหว่างกัน เพื่อส่งเสริมการส่งออกให้สินค้าและบริการในเชิงลึกให้มากขึ้น เช่น อาจมีข้อตกลงพิเศษกับมณฑลบางมณฑลของจีน หรือทำกับอินเดียบางรัฐที่มีความเหมาะสม เพราะบางมณฑล บางรัฐ มีอำนาจเต็มในการดำเนินการทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้มีการลดภาษีหรือมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น และเร็วกว่าการทำเอฟทีเอเป็นแบบทั้งประเทศ ซึ่งที่เรียกว่าเป็นเอฟทีเอรูปแบบใหม่ เพราะเข้าใจกันได้ง่าย แต่สุดท้ายจะเป็นความร่วมมือแบบไหน ก็อยู่ที่การขับเคลื่อน"นายจุรินทร์กล่าว

      นอกจากนี้ ยังจะเดินหน้าโครงการประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพดต่อไป ซึ่งขณะนี้ได้จ่ายส่วนต่างไปแล้ว 4 ชนิด โดยข้าวโพดจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 11 ธ.ค.2562 และจะจ่ายส่วนต่างได้วันที่ 20 ธ.ค.2562 ซึ่งหมายความว่าพืชเกษตรทั้ง 5 ชนิด สามารถดำเนินการได้ครบถ้วนเสร็จสิ้นภายในปีนี้ตามเป้า

       สำหรับ ยางพารา ที่ยังมีปัญหาในเรื่องกระบวนการตรวจสวนที่ค่อนข้างล่าช้า ซึ่งได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ไปแล้ว โดยได้มีการปรับวิธีการตรวจสวนให้กระชับขึ้น คือ เปลี่ยนมาเป็นวิธีให้เจ้าของสวนเป็นผู้แจ้งข้อมูลว่าทำยางชนิดใด มีจำนวนพื้นที่กี่ไร่ จากนั้นให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านคนใดคนหนึ่งให้การรับรองว่าเป็นความจริง และส่งข้อมูลให้กับ กยท. จากนั้น กยท. จะส่งข้อมูลให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อโอนเงินส่วนต่างได้ทันที โดยคาดว่าเกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับเงินส่วนต่างเร็วขึ้น และจนถึงขณะนี้ ได้มีการโอนเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนเกษตรกรชาวสวนยางที่มีอยู่ทั้งหมด ส่วนผู้ถือบัตรสีชมพู ยืนยันว่าสามารถได้รับเงินส่วนต่างเช่นเดียวกัน

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

ais 790x90GC 790x90

sme 720x90banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!