หมวดหมู่: CLMV

เมียวดี เมียนมา 'ขุมทองแม็คเคนน่า'ของไทย


มติชนออนไลน์ :

นายติ่น ส่วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการโรงแรม นายสมชัยฐ์ หทยะตันย์ติผู้ว่าราชการจังหวัดตาก และผู้ประกอบการในอำเภอเเม่สอด


สินค้าไทยในเมืองมะละเเหม่ง

     เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 1 ถูกออกแบบให้เป็นโครงการต้นแบบ ถือว่ามีความน่าสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตอย่างมาก เพราะจากภูมิประเทศชายแดนติดประเทศเมียนมา ในบริเวณด่านชายแดนแม่สอด-เมียวดี สามารถเชื่อมโยงการค้าต่อไปยังเมืองต่างๆ ของเมียนมาได้อย่างสะดวก 

     หากนับจากด่านศุลกากรเมืองสอด ไปเมืองผาอัน หรือเมืองผะอันในภาษาเมียนมา เมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยง จะมีระยะเพียง 153 กิโลเมตร (กม.) หรือห่างจากเมืองมะละแหม่ง หรือเมาะลำเลิง เมืองหลวงของรัฐมอญ เมืองท่าและเมืองใหญ่อันดับ 4 ของประเทศเมียนมา ระยะทางเพียง 177 กม. หรือสามารถเดินทางไปยังไจทีโย หรือแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทยที่รู้จักในชื่อพระธาตุอินแขวน ด้วยระยะทาง 300 กม.เท่านั้น

      นอกจากนี้ ยังสามารถเดินทางต่อไปยังนครย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวง ปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 1 ของเมียนมา ได้ด้วยระยะทาง 454 กม. กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงปัจจุบันและเมืองใหญ่อันดับ 2 ของเมียนมา ด้วยระยะทาง 632 กม. หรือต่อไปยังเมืองมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 3 ของเมียนมา ด้วยระยะทาง 889 กม.

       สมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพของการเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างด่านชายแดนแม่สอดกับเมืองอื่นๆ ในเมียนมา 

      พร้อมกันนี้ อู เท อ่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการโรงแรม ประเทศเมียนมา ยังได้มีหนังสือเชิญมายังทางจังหวัด ในการส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางด้านการท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศ ทางจังหวัดจึงได้จัดคณะทั้งจากผู้แทนหน่วยงานราชการ ที่ปรึกษาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน ลงพื้นที่สำรวจตามเส้นทางถนนสายเอเชีย เชื่อมต่อระหว่างด่านชายแดนแม่สอด-เมียวดี ผ่านไปยังเมืองผาอัน เมืองมะละแหม่ง และไจทีโย เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

      สมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ พ่อเมืองตาก บอกว่า ในด้านของการค้าระหว่างไทยกับเมียนมา เปรียบได้กับ "ขุมทองแม็คเคนน่า (MacKenna?s Gold)" ที่ไทยสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาลจากความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าของเมียนมา โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม และผงชูรสกว่า 80-90% เป็นสินค้านำเข้าจากไทย มีเพียงจำนวนน้อยที่นำเข้าจากจีน เนื่องจากปัญหาคุณภาพของสินค้า โดยสินค้าไทยยังมีโอกาสอีกมากทั้งในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก อาทิ หม้อหุงข้าว และพัดลม ถึงแม้ว่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่จะเป็นของประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อยู่ก็ตาม 

      รวมทั้งตลาดรองเท้าก็ยังมีความน่าสนใจที่ไทยจะไปเจาะตลาด เนื่องจากรองเท้าที่เมียนมายังขาดความหลากหลาย ต่างจากธุรกิจเสื้อผ้าที่มีการแข่งขันกันสูง และตลาดรองเท้ายังมีขนาดใหญ่ เนื่องจากวัฒนธรรมของเมียนมาจะนิยมใช้รองเท้าแตะในชีวิตประจำวัน ทั้งงานที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ 

     "นอกจากนี้ โรงงานหล่อพระพุทธรูปก็มีความน่าสนใจ เนื่องจากชาวเมียนมามีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมาก ทำให้มีการสร้างวัดจำนวนมาก แต่พระพุทธรูปที่สร้างโดยส่วนใหญ่ยังผลิตจากปูนปั้น หินแกะสลัก วัตถุดิบเหล่านี้นับวันก็ยิ่งจะลดลง ทำให้พระพุทธรูปหล่อจะมีความต้องการเป็นอย่างมากในอนาคต

      รวมทั้งประเทศไทยและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากยังสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์จากเมียนมาได้ อาทิ ป่าไม้ แร่ธาตุ หินทราย หินแกรนิต โดยสามารถนำมาผลิตเป็นวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง นอกจากนี้ เมียนมายังมีความต้องการอีกมากจากกำลังซื้อและชุมชนเมืองที่ขยายตัวมากขึ้น หากมีการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้ดีแล้ว ไทยจะเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการค้าขายกับเมียนมาอย่างมาก 

       ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างที่รัฐบาลไทยเข้าไปช่วยก่อสร้างและซ่อมแซมเส้นทางถนนสายเอเชียจากด่านชายแดนแม่สอด ไปยังเมืองกอกะเร็ก ระยะทางกว่า 45 กม. ทำให้สามารถใช้เวลาเดินทางเพียง 40 นาที จากเดิมต้องใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ยิ่งสามารถลดระยะเวลาในการขนส่งลงได้มากเท่าใด โอกาสของสินค้าไทยจะสามารถเข้ามาเจาะตลาดได้ก็ยิ่งมีมากเท่านั้น" นายสมชัยฐ์กล่าวอย่างมั่นใจ

      ด้าน ติ่น ส่วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการโรงแรม ประเทศเมียนมา กล่าวว่า ในด้านของการท่องเที่ยวแล้ว ด่านชายแดนแม่สอด-เมียวดี ถือเป็น 1 ใน 5 ด่านชายแดนที่รัฐบาลเมียนมาให้ความสำคัญในการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวทางถนน เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้แก่นักท่องเที่ยว นอกเหนือจากส่วนใหญ่ที่นิยมโดยสารมาทางเครื่องบิน และยังถือเป็นการช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากฝั่งไทยที่มีประมาณปีละ 28-29 ล้านคน ให้เข้ามาเที่ยวยังเมียนมาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านคน ในปี 2558 ตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ จากปี 2557 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจำนวน 3.08 ล้านคน

       นอกจากในแง่ของการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวแล้ว รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศก็ควรหันมาให้ความสำคัญต่อเรื่องการเปิดฟรีวีซ่าให้แก่กัน โดยในปัจจุบันรัฐบาลเมียนมาอนุญาตให้ประเทศกัมพูชา ลาว และเวียดนาม สามารถเข้าประเทศโดยไม่ใช้วีซ่าแล้ว เหลือเพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น ทางรัฐบาลเมียนมาได้พยายามผลักดันการเจรจาเรื่องนี้อยู่ หากทำได้สำเร็จ เชื่อว่าการเปิดฟรีวีซ่าระหว่างกันจะช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศให้มีความสะดวกและใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น

      สำหรับ สมยศ ตาสะหลี ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดตาก และผู้ประกอบการในอำเภอแม่สอด มองว่า ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงการค้าหรือการท่องเที่ยว ปัจจัยสำคัญที่สุดคือโครงสร้างทางถนน ปัจจุบันในฝั่งเมียนมายังไม่ดี ทำให้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์หรือการขนส่งค่อนข้างแพง หากเปรียบเทียบเป็นราคาปูนซีเมนต์ที่บริเวณด่านชายแดนจะอยู่ที่ถุงละ 105 บาท แต่พอเข้าไปในเมียนมาโดยใช้ระยะทางเพียงประมาณ 70 กม. ที่เมืองจ่องโด ราคาปูนขยับขึ้นมาที่ถุงละ 140 บาท แสดงให้เห็นถึงต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงมาก ทำให้มีผลต่อสินค้าไทย ที่อาจไปไม่ไกลมากนักในเมียนมา 

      หากมีการพัฒนาปรับปรุงและก่อสร้างถนนให้ดีขึ้นได้แล้ว ต้นทุนปูนซีเมนต์ที่มาถึงยังเมืองพะโค หรือบาโก ระยะทางประมาณ 361 กม. อาจจะเหลือราคาถุงละ 120 บาท ถึงเวลานั้นสินค้าไทยจะสามารถขยายตัวได้ทั้งประเทศเมียนมา และจากด่านแม่สอดยังจะสามารถขนส่งสินค้าออกไปทางถนนไกลถึงภูมิภาคเอเชียใต้ อาทิ บังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล ภูฏาน และทางตอนใต้ของจีนที่มณฑลยูนนานได้อีกด้วย 

      ถือว่าเป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่างประเทศที่ส่งผลดีให้กับทั้งสองประเทศอย่างแท้จริง

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!